ย้อนกลับไปปี 2553 เมื่อการดำนาในออฟฟิตถึงทางตัน ดำแล้วไม่โผล่ ไม่เกิด ดิ่งจมไปกับโคลนตมของความสำเร็จ โลกทั้งใบเพื่อชื่อเสียง เงินทอง รางวัล มาประดับผลงาน
ขณะที่ดิ้นรนขลุกขลักอยู่สักพัก จังหวะจมูกโผล่มาหายใจกลางผืนดินแปลงน้อย เริ่มคิดจะปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ คิดว่าเอาง่ายไว้ก่อน มีเครื่องมือช่วยคงไม่ยากเกินกำลัง แต่แท้จริงแล้วไม่มีอะไรง่าย และฉลาดขึ้น โดยพบว่าวิถีที่ดีควรทำด้วยอินทรีย์วัตถุให้มากที่สุด จึงเริ่มเรียนรู้ปลูกผักอินทรีย์
สะบัดตัว สะบัดหัวอีกที โผล่มายืนอยู่บนที่ดินรกร้างผืนเดิมพร้อมพี่เขย (ชั้นเอก ทังสุบุตร) ผู้ซื่งสละตัวเองทำงานมาในสายงานนักอนุรักษ์สัตว์ป่าพื้นป่ามานับ 10 ปี แต่อยากเริ่มทำอะไรของตัวเอง อยากเดินตามบนทางเท้าพ่อ ปลูกทุกอย่างที่กิน กินทุกอย่างที่ปลูก ท่านเริ่มมาให้แล้ว เราทั้งสองเห็นพ้องกันว่าจะช่วยกันลองทำกันดูสักตั้งหนึ่ง
ที่ดินของทางพี่เขยกับวิชาที่เขาสะสมมา กับเรานักคิดโฆษณาที่สะสมวิชาทางการตลาดมา น่าจะทำให้ นาแปลงนี้ที่ไม่ต้องเสียค่าเช่าสามารถแปลงผลผลิตมาเป็นรายได้ แถมมีข้าวที่สะอาดปลอดสารเคมีให้พ่อและแม่ และครอบครัวทานเอง
สะบัดตัวได้ดังนั้นก็เริ่มดำเนินการมา พบตัวเอง
สะเด็ดต้นกล้าในมือแล้วโยนขึ้นไปให้ตกปักลงมาในนา แบกจอบ ขุดดินปลูกต้นไม้ อยู่ในแปลงนา เป็นไทต่อตัวเอง
จากทำงานในห้องแคบกำแพงรอบด้าน คนพลุกพล่านประชุมทั้งวัน เปลี่ยนกลายเป็น นก หนู ไส้เดือนแนวต้นกล้วย คลอง ทางดินลูกรังแทน แต่แล้วปลายปี 54 นั้นเอง ที่ทุกอย่างที่ทำมาทั้งปีจมไปในนํ้าเหนือที่ท่วมท้น
เมื่อน้ำลดก็กลับมาฟื้นฟูและเริ่มปลูกข้าวอีกครั้ง กว่าจะทดลองค้นหาพันธุ์ที่เหมาะสมกับพื้นที่ก็ล้มไปหลายนา หลายรอบ ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการปลูกข้าวอินทรีย์เป็นศาสตร์ไปทุกสิ่งตั้งแต่การคัดพันธุ์เลือกเวลาปลูก วิธีการปลูก บำรุงรักษา การเก็บเกี่ยว ขัดสี จนคัดเก็บ เป็นศาสตร์ทุกขั้นทุกตอน
วันนี้ความเข้าใจในวิถีแห่งความพอเพียง คืออยู่ให้แค่พอ แค่ทะลึ่งตัวออกจากโคลนตมแห่งความโลภมายืนบนพื้นนา ยังไม่ได้เดินหรือวิ่งไปไหน ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป พอกินพอใช้ ที่เหลือขายไป ไม่ทำร้ายชํ้าเติมธรรมชาติ พร้อมส่งต่อแนวทางความคิด และอินทรีย์ปฏิบัติให้ชาวบ้านในพื้นที่ 1 ครอบครัวที่เข้ามาขอดำเนินการต่อ แค่นี้ก็พอเพียงที่จะยืนหายใจต่ออย่างมีความสุข...
ผู้เขียน
ฉัตรชัย บุณยะประภัศร
ชาวนา สวนชุ่มใจ
Comments