‘เรากินทิ้งกินขว้าง เพราะอาหารด้อยค่าไร้ราคา มีล้นเหลือ และได้มาอย่างง่ายดาย จากระบบการผลิตเชิงเดี่ยว และการผลิตแบบอุตสาหกรรม’
นี่เป็นเพียงความสุดโต่งของมนุษย์ที่พึงจะเป็นได้หลังจากความหิวโหยและขาดแคลนอาหาร
ในภาวะหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ทำให้เกิดการเร่งผลิต เพื่อไม่มีใครต้องหิวอีกต่อไป..
ครั้งสุดท้ายเรากินเกลี้ยงไม่เหลือเลยคือเมื่อไหร่?
ไม่ต้องทิ้งเศษซากอาหารที่ตกค้างอยู่ในตู้เย็นลงถังเท่าใด เรากินทิ้งกินขว้างเพราะระยะห่างระหว่าง
‘คนกิน’ กับ ‘คนผลิต’ กว้างขึ้นทุกวัน ถ้าไม่เคยถอนกล้า ไม่เคยดำนา ไม่เคยผลิต ก็จะตระหนักไม่ได้
คิดไม่ออกมองไม่เห็น ถึงความยากที่จะได้มาซึ่งข้าวแต่ละเม็ดนั้นมันสาหัสสากรรจ์เพียงใด เฉกเช่นเดียวกันกับพืชผัก เราไม่ได้เพาะปลูก ไม่ต้องรอวันเก็บดอก เก็บผล หรือแม้แต่เป็นพยานในการปลิดชีพ สังเวยชีวิตของสัตว์บก สัตว์น้ำ ที่ลมหายใจต้องหลุดลอย กลายเป็นซากไร้วิญญาณ และจบชีวิตลงบนจานอาหารของเรา เพราะเราไม่เคยอยู่ตรงนั้น เพราะเราไม่มีประสบการณ์ร่วม เราเลย ‘กินทิ้งกินขว้าง’ ได้อย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเท่าไรนัก ไม่ได้คิดว่านั่นคือหนึ่งชีวิตที่ถูกเราเอามาทิ้งอย่างไร้ค่าไปกับอาหารอย่างอื่นแล้วไปลงเอยที่บ่อขยะ
วัฒนธรรมการกินเพื่อสนองอัตตาและอารมณ์ น่าจะเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักของการกินทิ้งกินขว้างของคนยุคนี้ พ.ศ. นี้ เพียงเพราะต้องการให้คนอื่นเห็นว่าเรามั่งมี เรามีอาหารมากมาย และมีอาหารเหลือเฟือ มันสะท้อนตัวตน สะท้อนความร่ำรวย ว่าฉันมี.. ต้องเต็มโต๊ะ เหมือนการกินโต๊ะจีน ขนบที่สืบเรื่อยมาในงานเฉลิมฉลอง ต่างกันเพียงแค่เราทำตัวเฉลิมฉลองทุกวัน มันเลยเกินพอดี วัฒนธรรมการกินถึงอิ่ม
วิถีการกินอย่างอาหารบุฟเฟ่ต์ ก็ถูกนำมาใช้ในทางที่ไม่ใคร่ถูก ไม่ใคร่ควรเท่าไหร่ แท้จริงแล้วการจัดตั้งอาหารแบบบุฟเฟ่ต์ ตักแค่พอกิน พออิ่ม ก็จะไม่ทำให้อาหารเหลือ เพราะทุกคนกินหมด เหลือในถ้วยโถโอชามไม่เท่าใดนัก แต่กลับกลายเป็นการตักอาหารให้คุ้ม ตั้งอาหารให้อลัง ดูเยอะดูใหญ่เพื่อสนองอัตตา ทั้งคนกิน ทั้งคนทำ มันเลยเวิ่นเว้อไปกันใหญ่ และสร้างอุปนิสัยกินทิ้งกินขว้างเป็นเรื่องสามัญธรรมดา
เพราะเราเข้าใจไปเองว่าการกินทิ้งกินขว้าง ไม่ใช่เรื่องรับผิดชอบของเรา ก็เงินกู... แต่ขอโทษ โลกเราอยู่ร่วมกัน มึงกินน่ะใช่ แต่เวลาทิ้งมันก็บ้านกูด้วย ขยะจำนวนมหาศาลจากการวิธี วิถีการกินเกินเหลือบนจานมากมาย ถูกทิ้งอย่างไร้เยื่อใย เหมือนความสัมพันธ์ตอนที่ได้รับมา สู่บ่อขยะขนาดยักษ์ ที่มีความสามารถในการผลิตแก๊ซมีเทน
ที่มีผลกระทบทางลบกับอุณหภูมิของโลกใบนี้มากกว่าคาร์บอนมอนอกไซด์ ถึงจะอ้างว่าอาหารที่ทานมาจากวัตถุดิบเกษตรอินทรีย์ ไม่สร้างสารเคมีให้กับโลกในตอนปลูก แต่การกินทิ้งกินขว้างมันก็ยังสร้างผล กระทบอยู่ดี ทุกวันนี้เพราะเรามัวแต่โยนความผิดให้อุตสาหกรรมอื่น อย่างยานยนต์ คมนาคม เหมืองแร่ ก่อสร้าง คือเค้าก็เกี่ยว แต่ทุกครั้ง ทุกคำที่ตักเข้าปาก เราเกี่ยวสุดๆ ตั้งสตินิดนึง อาหารคำนี้ได้มาแต่ไหน อย่างไร ใครผลิต กระทบปากแล้วกระทบจิตด้วย ให้คุณค่ากับสิ่งที่จะกลายเป็นตัวเราสักนิด อย่าให้อาหารเหลือของเราไปเป็นภาระของคนอื่น ทั้งทางตรงและทางอ้อม นะ ขอร้องล่ะ
ผู้เขียน
เชฟโบ - ดวงพร ทรงวิศวะ
เชฟมิชลินสตาร์
เจ้าของร้านอาหารโบ.ลาน
Comentarios